Phone Phobia ไม่ต้องรับสาย ถ้าเธอไม่เหงา (?)

ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้เลยว่าการที่ไม่ชอบคุยโทรศัพท์ จะเรียกเป็น Phobia อย่างหนึ่งได้ด้วย ตอนยังไม่รู้ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ก็แค่ไม่ชอบคุยโทรศัพท์ จนเมื่อหลายเดือนก่อนไปเจอบทความเกี่ยวกับ เรื่องนี้มา ซึ่งอ่านแล้วในหัวมันมีแต่คำว่า ใช่ ใช่อะ ใช่เลย ใช่มาก ก็ชัดแจ้งเลยว่า นี่มันเรานี่หว่า

Phone Phobia หรือ Telephone Phobia พูดง่ายๆ ก็คือ อาการกลัวหรือรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องคุยโทรศัพท์ ไม่อยากโทรหาใคร และไม่อยากให้ใครโทรหาด้วย จะสังเกตได้ว่าอาการนี้ไม่เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์เพื่อเล่นโซเชียลนะ แต่ถ้าต้องโทรคุยเมื่อไหร่... หรู่เรื่อง

อ่านๆ ดูแล้ว สำหรับคนทั่วไปคงคิดว่า ก็แค่คุยโทรศัพท์เอง It's not a big deal มั้ยอะ แต่สำหรับคนที่มีอาการนี้จะไม่ชอบคุยโทรศัพท์เลย บางบทความก็บอกว่าอาจจะเป็นผลมาจาก Social Anxiety Disorder ที่ไม่ชอบเข้าสังคมด้วย แต่ถ้าถามจากประสบการณ์ตัวเอง เราก็ยังเข้าสังคมได้ปกตินะ แต่ก็จะชอบคุยแบบเจอตัวเป็นๆ แบบวีดิโอคอล หรือแชทไปเลยมากกว่า สรุปคืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องคุยโทรศัพท์นี่แหละ



จริงๆ เรื่องที่ไม่ชอบคุยโทรศัพท์เนี่ยเป็นปัญหาที่เราสังเกตและรู้ตัวมานานแล้วแหละ แต่เพิ่งจะมาตกผลึกสาเหตุและอาการหลักๆ ได้ก็ตอนเข้ามหาลัย

จำได้ว่าตอนประถม เราชอบคุยโทรศัพท์มากเลย โทรไปคุยกับเพื่อนแล้วก็คุยแบบไม่มีใครยอมวางสาย คุยแบบที่ก็ไม่เข้าใจว่าตอนนั้นมันคุยอะไรเยอะแยะ 😂 (วัยใสอะเนาะ)

แต่หลังๆ จะเริ่มมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับการใช้โทรศัพท์มากขึ้น เช่น เด็กๆ เราเคยโทรไปเล่นเกมชิงรางวัลที่ค่าบริการแพงขูดเลือด แต่เราเด็กเราก็ไม่รู้เนอะ ก็โดนที่บ้านเฉ่งหนึ่งชุด หรือตอนนั้นพี่ชายอยู่ม.ปลาย ก็จะชอบมีผู้หญิงโทรมาหา (เสียง คัลหลอว์ แบบคนห่อลิ้นพูดนั้นยังจำได้ไม่ลืม 555) แล้วต้องเป็นเราที่ได้รับสายตลอด เพราะพี่ฉันมันไปอยู่ร้านเกมนู่นจ้า รำคาญญญ

พอเข้าม.ต้น ที่บ้านก็ซื้อคอมติดเนต เราก็เริ่มแชทสนุกๆ ไปเรื่อย พอมีมือถือเครื่องแรกก็เริ่มโทรไปคุยกับคนในเนตบ้าง พอที่บ้านรู้ก็โดนเฉ่งอีก พอม.ปลาย ก็จะมีคนโทรมาตอนที่เรายุ่งบ้าง ยังไม่สะดวกคุยแต่ก็ยังโทรมาเรื่อยๆ บ้าง หรือตอนที่ที่บ้านมีปัญญาที่เกิดจากคนนอก ซึ่งวันนั้นเราอยู่บ้านคนเดียว แล้วจู่ๆ ก็มีคนโทรมาขู่ ซึ่งอะไรแบบนี้มันสะสมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็น trauma ของเราไปแล้ว

พอเข้ามหาลัย เราก็ไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพท์เท่าไหร่ละ จะรู้สึกสบายใจถ้าต้องโทรคุยกับคนที่สนิทหรือคนในครอบครัวแค่นั้น พอดีกับตอนที่ไลน์หรือแอพส่งข้อความต่างๆ เริ่มบูมขึ้นมา ซึ่งก็ช่วยตัดปัญหาตรงนี้ไปได้ช่วงนึง เวลาเราต้องติดต่อกับคนอื่นๆ ก็จะส่งข้อความเอา

นอกจาก trauma ที่สะสมมาเรื่อยๆ เราก็สังเกตตัวเองด้วยว่าเราจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เวลาคุยแบบ verbally โดยไม่เห็นหน้าคนที่คุยด้วย คงเพราะหูไม่ค่อยดีด้วยเลยจะฟังอะไรผิดๆ เพี้ยนๆ บ่อย เราเป็นพวกรับรู้แบบเห็นภาพมากกว่า (จำอะไรเป็นภาพ หรือถ้าคนบอกทางแบบปากเปล่าก็จะนึกภาพไม่ออกแล้วลืมไวมาก แต่ถ้าเขียนมาให้หรือดู map ถึงจะเข้าใจ ฯลฯ) เลยรู้สึกว่าเราต้องมองสีหน้าและปากของคนพูด ถึงจะมั่นใจว่าเราจะเข้าใจแน่นอนว่าคนพูดต้องการสื่อสารอะไร (อย่างน้อยก็ 90%)

ซึ่งไอ้ความไม่มั่นใจเนี่ย มันก็มาจากนิสัยเราที่เป็นคนขี้กังวล และจริงๆ เราเป็นคนขี้เขินด้วย (อ่านแล้วอาจจะคิดว่า ถัมจิง หล่อนเนี่ยนะขี้เขิน แต่เราขี้เขินขี้อายตั้งแต่เด็ก แค่อาจจะดู outgoing เพราะเป็นคนอารมณ์ดีมั้ง) จะกังวลว่า เราพูดทางโทรศัพท์แล้วเค้าจะเข้าใจเรามั้ย เราไม่รู้เลยว่าเค้าจะมีปฏิกริยายังไง กลัวว่าสายของเราจะไปรบกวนเค้า อีกอย่างคือถนัดเขียนมากกว่าพูด เพราะเราได้เรียบเรียงความคิดก่อน แต่พอคุยโทรศัพท์แล้วมันต้องโต้ตอบทันที ก็จะรู้สึกกดดันเพราะคิดว่าปลายสายเค้ารอเราตอบอยู่ ฯลฯ

อะ ทีนี้เริ่มรูู้สาเหตุที่ไม่ชอบคุยโทรศัพ์ แล้วอาการมันเป็นยังไง ทำไมถึงไม่ชอบคุยโทรศัพท์อะ... คืองี้นะ สำหรับเรา เวลาที่มีคนโทรเข้ามา (โดยเฉพาะคนที่ไม่สนิทหรือไม่รู้จัก) จะมีอาการประมาณนี้
  • ตกใจและหัวใจเต้นแรงกว่าปกติเวลามีสายเข้า ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเวลาที่สะดุ้งเพราะเสียงริงโทนดังมากๆ อะไรงี้นะ เพราะเราปิดเสียงเปิดสั่นตลอด
  • ต้องใช้เวลาทำใจก่อนจะรับสาย คือคนทั่วไปอาจจะแค่ดูว่าใครโทรมาแล้วก็รับสายได้เลย แต่สำหรับเราต้องเรียกว่าขอเวลาทำใจก่อน เพราะเราจะจิตตกว่า เค้าโทรมาทำไม เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นรึเปล่า เค้ารู้สึกหรือคิดอะไรอยู่ถึงโทรมา ฯลฯ บางทีทำใจนานจน missed call ไปเลยก็มี
ส่วนเวลาที่เราต้องโทรหาใคร อาการของเราก็จะประมาณว่า
  • ต้องใช้เวลาทำใจก่อนโทร คิดวนไปวนมาว่า ต้องโทรจริงๆ เหรอ ไม่โทรได้มั้ย โทรแล้วจะสื่อสารครบมั้ย ฯลฯ
  • ใจเต้นแรงกว่าปกติตอนรอสาย และภาวนาในใจว่า อย่ารับสายเลย ขอร้อง ไม่ต้องรับสาย ถ้าเธอไม่เหงาาา (puh-lease!!)
  • ใจเต้นแรงกว่าข้อข้างบนตอนที่เค้ารับสายแล้ว ส่งผลต่อการสื่อสารในข้อต่อไป
  • เวลาพูดกับคนปลายสายจะไม่รู้ตัวว่ากลั้นหายใจไว้ พอพูดจบแล้วก็หายใจเข้าฟืดใหญ่ ถึงได้รู้ว่าเมื่อกี้นี้ไม่ได้หายใจเลย
  • ถ้าอยู่ๆ เกิด dead air ก็จะเริ่มกังวล และไม่รู้เป็นอะไรนะ เวลา dead air แล้วเราจะพยายามหาอะไรมาพูด ซึ่งก็จะประจวบเหมาะกับตอนที่เค้าตอบกลับมาพอดี เกลียดโมเม้นท์นี้มากกกกก เหมือนไปรบกวนการพูดของเค้าอะ 😭
  • พอพูดจบ ก็จะมานั่งคิดแล้วว่า พูดครบจบทุกเรื่องมั้ย ที่เราพูดเมื่อกี้ ทำไมเราไม่พูดอีกแบบจะได้เข้าใจง่ายกว่านี้ ถ้าเค้าเข้าใจอีกแบบทำไง คิดไปต่างๆ นานา
พอมีอาการแบบนี้ มันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มทำงาน ต้องเริ่มติดต่อผู้คน ซึ่งมีทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ คนภายนอกภายใน ไหนจะเรื่องระดับภาษาที่ต้องใช้ ฯลฯ ซึ่งบอกเลยว่ากระทบกับชีวิตด้าน professional แน่นอน แล้วการงานของเราที่ผ่านมาคือต้องติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์เพื่อประสานงานเน้นๆ เลยด้วย (คิดว่าสมัยนี้ ไม่ว่างานไหนๆ ก็ต้องใช้การติดต่อทางโทรศัพท์กันบ้างแหละเนอะ) แล้วแบบนี้ เราจะทำไงอะ

คำตอบคือ ก็ต้องทำไปแหละ เพราะงานคือเงิน เพราะเงินคืองาน และเพราะความจนมันน่ากลัววววว ขอบคุณค่า /พับไมค์

เหมือนจะกวนตีนเนอะ แต่พอมันเป็นหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบแล้ว สุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องทำ เราก็เลยได้พัฒนาตัวเองเพื่อให้กลัวการคุยโทรศัพท์น้อยลง โดยสิ่งที่เราพยายามปรับตัวเพื่อ overcome ความกลัวนี้ ก็อย่างเช่น
  • เวลาจะติดต่อใคร จะ list เป็นข้อๆ ไว้เลยว่ามีประเด็นอะไรที่ต้องพูด ต้องแจ้ง ต้องถาม หรือต้องการข้อสรุปบ้าง หรือถ้ามีคนโทรมา เราจะเตรียมปากกากับกระดาษไว้รอเลย ต่อให้เป็นเบอร์ที่โทรมาขายประกันก็ยังจะจดว่าของบริษัทไหน ก็คือจดโดยอัตโนมัติ (จากนั้นก็ขยำทิ้ง จะจดทำไมวะ 555)
  • ยังต้องใช้เวลาทำใจอยู่บ้าง แต่ไม่นานมาก ยิ่งโตยิ่งงานเยอะ เราจะใช้เวลาไปกับการทำใจไม่ได้เพราะเดดไลน์ไล่จี้มาแล้วจ้ะแม่ เราจะคิดว่า โทรๆ หรือรับๆ ไปซะให้มันจบ จะได้ไม่ต้องมากังวล แล้วเอาเวลาไปโฟกัสอย่างอื่น
  • หายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนกดโทรออกหรือรับสาย พอรับสายก็จะคิดบวกไว้ก่อนว่า เค้าโทรมาเนี่ยเพราะอยากคุยกับเราแหละ หรือถ้าเราจะโทรหาใคร ก็จะคิดว่าเค้าคงดีใจแหละเนอะที่เห็นเราโทรไป (ได้เหรอ 😁😁)
  • บูสต์ความมั่นใจขึ้นมาให้ได้ เอาจริงๆ พอได้ทำงานบวกกับการที่เราโตขึ้น เราก็เริ่มมั่นใจในตัวเองขึ้นมานิดนึงด้วย ข้อนี้อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ให้คิดซะว่า เดี๋ยวมันจะค่อยๆ โอเคขึ้นแหละ
  • ข้อสุดท้าย พิชิตความกลัวด้วยการอย่าไปกลัวมัน พูดเหมือนง่ายแต่ทำยากแหละ แต่เชื่อเหอะ เราต้อง confront มัน อาจจะต้องค่อยเป็นค่อยไป แล้วเราจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ เราก็ยังเกร็งอยู่บ้างเวลาคุยโทรศัพท์นะ ยังเผลอกลั้นหายใจบ้าง แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว คือพยายามสร้าง positive vibe กับการคุยโทรศัพท์เข้าไว้ ถ้ายังมีข้อผิดพลาดก็จะพยายามไม่คิดมาก ครั้งหน้าก็พยายามผ่อนคลายและทำให้ดีกว่าเดิม เราว่าอาการนี้มันคงไม่หายขาดหรอกมั้ง แต่ก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่โอเคและอยู่กับมันได้แหละ (จริงๆ ก็อยู่กับมันมาเกือบครึ่งชีวตแล้วอะเนอะ)

เราเขียนบล็อกนี้ขึ้นมานี่ไม่ได้อิงหลักวิชาการอะไรเลยนะ ถือเป็นประสบการณ์ตรงที่อยากแบ่งปันละกัน เพราะ resource ภาษาอังกฤษเรื่องนี้ก็มีเยอะ ส่วนของภาษาไทยอาจจะไม่เยอะเท่าแต่ก็พอมี เช่น บทความของ Mango Zero ซึ่งเขียนสรุปเข้าใจง่ายดี (เรารู้ว่าอาการนี้มีชื่อเรียกเพราะบทความนี้แหละ) ก็ถือว่าเราแชร์เป็น case study แทนละกัน

Comments

Popular Posts